ในอัลกุรอาน ซูเราะห์อัซซุครุฟ อายะห์ที่ 36 ได้กล่าวถึงคนที่หลงลืมการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า “และผู้ใดที่เมินเฉยจากการระลึกถึงพระผู้ทรงกรุณาปรานี เราจะให้มารเป็นเพื่อนสนิทของเขา” คำว่า “ยะอ์ชุ“ หมายถึงการเข้าสู่ความมืดทางจิตใจอย่างช้า ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการที่ท้องฟ้าเริ่มมืดหลังจากพระอาทิตย์ตกมนุษย์ที่จมอยู่ในความต้องการและกิเลสจะค่อย ๆ ปิดกั้นแสงสว่างจากการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า จนกระทั่งความมืดมิดเข้าครอบงำจิตใจโดยสมบูรณ์
อายะห์นี้ชี้ให้เห็นว่า มารอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา และพร้อมจะเข้ามาก่อกวนเมื่อเราหลงลืมการระลึกถึงพระเจ้า อย่างไรก็ตาม การระลึกถึงพระองค์เป็นเหมือนเกราะที่ป้องกันเราไม่ให้มารเข้ามาควบคุมจิตใจ หากเราปราศจากแสงสว่างจากการระลึกถึงพระองค์ ความมืดในใจจะเข้าครอบงำ ทำให้เราตกเป็นทาสของมารโดยไม่รู้ตัว
อีกทั้งในซูเราะห์ฟุศศิลัต อายะห์ที่ 25 กล่าวว่า มารจะทำให้ความสุขทางโลกดูดึงดูดใจและทำให้เราหลงลืมสิ่งที่มีค่าทางจิตวิญญาณและชีวิตในปรโลก ดังนั้นการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปกป้องตัวเราเองจากการถูกหลอกลวง
พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ในซูเราะห์อัลบะเกาะเราะห์ อายะห์ที่ 186 ว่า “และเมื่อปวงบ่าวของฉันถามถึงฉัน แท้จริงฉันใกล้มาก” สิ่งนี้สะท้อนถึงความใกล้ชิดของพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งพระองค์จะตอบรับทุกคำเรียกร้องจากมนุษย์เมื่อเขาขอ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและมารคือ มารจะเข้ามาในใจมนุษย์โดยที่เราไม่ต้องเรียก แต่พระเจ้าจะใกล้ชิดเราเมื่อเราร้องขอและระลึกถึงพระองค์
บทสรุปคือ มนุษย์ต้องมีสติและระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เพื่อปกป้องตัวเองจากความมืดในใจและการถูกหลอกลวงจากมาร พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดเสมอ เพียงแค่เราต้องเรียกหาพระองค์